ยินดีต้อนรับ

 

หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

     หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิตของมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตเป็นหลักสูตรที่มุ่งพัฒนาความรู้ความสามารถของนักกฎหมายให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ของชาติที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถปฏิบัติงานในสาขาวิชาชีพนิติศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิตของมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตจึงเป็นหลักสูตรในระดับบัณฑิตศึกษาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งหลักสูตรหนึ่ง

กิจกรรม

สัมมนาออนไลน์ “สภาพบังคับและปัญหาทางกฏหมาย เกี่ยวกับหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522” โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) จรัญ ภักดีธนากุล

สัมมนาออนไลน์ “สภาพบังคับและปัญหาทางกฏหมาย เกี่ยวกับหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522” โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) จรัญ ภักดีธนากุล

  จบทุกปัญหาในกฎหมายหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง คำตอบจากนักกฎหมายโดยตรง กับงานสัมมนาออนไลน์ เรื่อง สภาพบังคับและปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ)...
Read More

ข่าวประชาสัมพันธ์

ขอแสดงความยินดี รองศาสตราจารย์ คณาธิป ทองรวีวงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันกฎหมายสื่อดิจิทัล มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ได้รับรางวัลระดับชาติ ถึง 2 รางวัล ได้แก่ 1....
Read More

คู่มือการเขียนบทความวิชาการ พ.ศ.2565

 

 

คู่มือ

การเขียนบทความทางวิชาการ

  

จัดทำโดย

คณะอนุกรรมการจัดการความรู้

คณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

   

โครงการ

เรื่อง การเขียนบทความทางวิชาการ

       ลักษณะของบทความวิชาการ บทความวิชาการ (Academic article) เป็นงานเขียนวิชาการซึ่งมีการวิเคราะห์ประเด็นตาม หลักวิชาการ มีการสำรวจวรรณกรรมและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบเพื่อสนับสนุนและสามารถสรุปผลการ วิเคราะห์ในประเด็นนั้นได้ มีเนื้อหาเน้นหนักไปในด้านวิชาการ เสนอความคิด วิทยาการใหม่ หรือเป็น การตีความ ค้นคว้าหาข้อเท็จจริงที่แปลกใหม่มาเสนอต่อผู้อ่าน ลักษณะเฉพาะของบทความประเภทนี้ คือ ลีลาการเขียน ภาษา ศัพท์ เป็นไปตามหลักวิชาการ ซึ่งบางครั้งผู้เขียนอาจเสนอแนวคิดใหม่เพื่อ ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการที่เชื่อถือเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการ (ลลิตา กิตติประสาร, 2554: 469 อ้างถึงใน สัญญา เคณาภูมิ, 2560)   อย่างไรก็ตีบทความวิชาการมักจะมี ลักษณะเฉพาะอยู่หลายประการ ได้แก่ (วรางคณา จันทรคง, 2557 อ้างถึงใน สัญญา เคณาภูมิ, 2560)

  1. ต้องเป็นเรื่องที่ผู้อ่านส่วนมากกำลังสนใจอยู่ในขณะนั้น อาจเป็นปัญหาที่คนทั่วไปอยาก ทราบว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร หรือมีผลเช่นไร หรือเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ หรือเข้ายุคเข้าสมัย
  2. ต้องมีสาระแก่นสาร อ่านแล้วได้ความรู้หรือความคิดเพิ่มเติม มิใช่เรื่องเลื่อนลอย เหลวไหลไร้สาระ
  3. ต้องมีทัศนะ ข้อคิดเห็น และหรือ ข้อวินิจฉัยของผู้เขียนแทรกอยู่ด้วย
  4. มีวิธีการเขียนที่ชวนให้อ่าน ทำให้เพลิดเพลินและชวนคิด
  5. เนื้อหาสาระและวิธีเขียนเหมาะแก่ผู้อ่านระดับที่มีการศึกษาทั้งนี้เพราะผู้อ่านที่มีการศึกษาน้อยมักจะไม่อ่านบทความแต่จะอ่านข่าวสดมากกว่า
  6. มีการนำเสนอความรู้หรือความคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางวิชาการที่เชื่อถือได้ในเรื่องนั้นๆ โดยมีหลักฐานทางวิชาการอ้างอิง
  7. มีการวิเคราะห์ วิจารณ์ ให้ผู้อ่านเห็นประเด็นสำคัญอันเป็นสารประโยชนที่ผู้เขียนต้องการ นำเสนอแก่ผู้อ่านซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ส่วนตัวหรือประสบการณ์และผลงานของผู้อื่นมาใช้
  8. มีการเรียบเรียงเนื้อหาสาระอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยให้ผู้อ่าน
  9. เกิดความกระจ่างในความรู้ความคิดที่นำเสนอ มีการอ้างอิงทางวิชาการและบอกแหล่ง อ้างอิงทางวิชาการอย่างถูกต้องเหมาะสมตามหลักวิชาการและจรรยาบรรณของนักวิชาการ
  10. มีการอภิปรายให้แนวคิด แนวทางในการนำความรู้ ความคิดที่นำเสนอไปใช้ให้เป็น ประโยชน์หรือมีประเด็นใหม่ๆ ที่กระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความต้องการสืบเสาะหาความหรือพัฒนา ความคิดในประเด็นนั้นๆ ต่อไป เป็นต้น

ลักษณะของบทความที่มีคุณภาพ (พร้อมภัค บึงบัว และคณะ, 2561)

  1. ถูกต้องตามเกณฑ์มาตรฐานทางวิชาการ
  2. ได้รับการยอมรับเผยแพร่ นำเสนอหรือตีพิมพ์
  3. มีนักวิจัยนำไปใช้อ้างอิงและใช้ประโยชน์ ลักษณะของบทความตามหลัก 7C
  4. ความถูกต้อง (Correctness)
  5. ความมีเหตุผลมั่นคง (Cogency)
  6. ความกระจ่างแจ้ง (Clarity)
  7. ความสมบูรณ์ (Completeness)
  8. ความกะทัดรัด (Concise)
  9. ความสม่ าเสมอ (Consistency)
  10. ความเชื่อมโยง (Concatenation)

องค์ประกอบของบทความวิชาการ

  1. ชื่อเรื่อง

1.1 ใช้ภาษาที่เป็นทางการ ชื่อเรื่องชัดเจนตรงไปตรงมา และครอบคลุมประเด็นของเรื่อง

1.2 ไม่จำเป็นต้องตรงกับชื่องานวิจัย (กรณีส่วนหนึ่งส่วนใดของงานวิจัย)

1.3 ควรมีลักษณะทั้งแบบ Didactic และ Lapidaric Didactic : มองเห็นความสำคัญของแนวคิดหลักและประโยชน์ที่ได้รับ Lapidaric : เห็นแก่นขององค์ความรู้

1.4 ประเด็นที่เป็นข้อสงสัย ขัดแย้ง ยังไม่ยุติ

1.5 ประเด็นที่เป็นเรื่องใหม่ ทันต่อยุคสมัย เป็นกระแสความสนใจ

1.6 ประเด็นนวัตกรรม

1.7 ประเด็นที่วารสารต้องการ ตรงกับ Theme 4 1.8 ประเด็นที่มีคุณค่าทางวิชาการ

  1. บทคัดย่อ/Abstract

2.1 บทคัดย่อในบทความวิชาการ เป็นการสรุปประเด็นเนื้อหาที่เป็นแก่นสำคัญ เน้น ประเด็นสำคัญของงานที่ต้องการนำเสนอจริงๆ

2.2 ควรเขียนให้สั้น กระชับ มีความยาวไม่เกิน 10-15 บรรทัด (หรือตามที่แหล่งตีพิมพ์ กำหนด)

2.3 บทคัดย่อมักจะประกอบด้วยเนื้อหา 3 ส่วน คือ เกริ่นนำ สิ่งที่ทำสรุปผลสำคัญที่ได้ ซึ่งอ่านแล้วต้องเห็นภาพรวมทั้งหมดของงาน

2.4 Abstract ต้องตรงตามบทคัดย่อ

  1. คำสำคัญ/Keyword

3.1 ควรเลือกสำคัญที่เกี่ยวข้องกับบทความ ประมาณ 3-5 คำ

3.2 คำสำคัญในภาษาไทยต้องตรงกับคำสำคัญในภาษาอังกฤษ

3.3 เป็นคำที่มีนัยสำคัญที่ปรากฏในชื่อเรื่อง

3.4 เป็นคำค้นจากดัชนีเอกสารในวารสารและดัชนีประเภทต่างๆ

  1. บทนำ/ส่วนนำ

4.1 เป็นส่วนที่ผู้เขียนจูงใจให้ผู้อ่านเกิดความสนใจในเรื่องนั้น

4.2 ใช้ภาษาที่กระตุ้น จูงใจผู้อ่าน

4.3 ยกปัญหาที่กำลังเป็นที่สนใจมาอภิปราย

4.4 ตั้งประเด็นคำถามหรือปัญหาที่ท้าทายความคิดของผู้อ่าน

4.5 กล่าวถึงประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับจากการอ่าน

4.6 ผู้เขียนกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเขียนบทความ หรือให้คำชี้แจงที่มาของการ เขียนบทความนั้น

4.7 บอกขอบเขตของบทความเพื่อช่วยให้ผู้อ่านไม่คาดหวังเกินขอบเขตที่กำหนด

4.8 ปูพื้นฐานที่จำเป็นในการอ่านเรื่องนั้นให้แก่ผู้อ่าน

4.9 หลักการและเหตุผล (rationale) หรือความเป็นมาหรืภูมิหลัง (Background) หรือ ความสำคัญของเรื่องที่เขียน เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบเป็นพื้นฐานไว้ก่อนว่าเรื่องที่เลือกมาเขียนมี ความสำคัญหรือมีความเป็นมาอย่างไร เหตุผลใด ผู้เขียนจึงเลือกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาเขียน

4.10 วัตถุประสงค์เป็นการเขียนว่าในการเขียนบทความในครั้งนี้ต้องการให้ผู้อ่านได้ทราบ เรื่องอะไรบ้าง จำนวนวัตถุประสงค์แต่ละข้อไม่ควรมีมากเกินไปและวัตถุประสงค์แต่ละหัวข้อจะต้อง สอดคล้องกับเรื่องหรือเนื้อหาของบทความ

4.11 ขอบเขตของเรื่อง (ถ้ามี) ผู้เขียนต้องการจะบอกกล่าวให้ผู้อ่านทราบและเข้าใจตรงกัน เพื่อเป็นกรอบในการอ่าน อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยในการเขียน ได้แก่ ความยาวของงานที่เขียน หากมีความ ยาวไม่มากก็ควรกำหนดขอบเขตการเขียนให้แคบลง ไม่เช่นนั้นผู้เขียนจะไม่สามารถนำเสนอเรื่องได้ ครบถ้วนสมบูรณ์ และระยะเวลาที่ต้องรวบรวมข้อมูลอาจชี้แจงการกำหนดเรื่องที่จะเขียนที่ลึกซึ้ง สลับ ซับช้อน หรือเป็นเรื่องเชิงเทคนิคอาจจะยกต่อการรวบรวมข้อมูลและเรียบเรียงเนื้อเรื่อง

4.12 คำจำกัดความหรือนิยามต่างๆ (ถ้ามี) คำจำกัดความที่ผู้เขียนเห็นว่าควรระบุไว้เพื่อ เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในกรณีที่คำเหล่านั้น ผู้เขียนใช้ในความหมายที่แตกต่างจากความหมายทั่วไปหรือ เป็นคำที่ผู้อ่านอาจจะไม่เข้าใจความหมายถึงเป็นการทำความเข้าใจและการสื่อความหมายให้ผู้เขียน บทความและผู้อ่านบทความเข้าใจตรงกัน รวมทั้งเป็นการขยายความหมายให้สามารถตรวจสอบหรือ สังเกตได้

  1. เนื้อหาสาระ ผู้เขียนนำเสนอหลักวิชาการที่จะต้องคำนึงถึงในการเขียน ได้แก่ กรอบแนวความคิด (conceptual framework) ที่ผู้เขียนใช้ในการเขียนจะต้องแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงของเหตุที่นำไปสู่ผล (causal relationship) การอ้างอิงข้อมูลต่างๆ การลำดับความ การบรรยาย วิธีการอ้างอิง สถิติ และข้อมูลต่างๆ ที่ใช้ในการประกอบเรื่องที่เขียน เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจและประทับใจมากที่สุด

5.1 การจัดลำดับเนื้อหาสาระ

5.1.1 การจัดลำดับเนื้อหาสาระ

5.1.2 วางแผนจัดโครงสร้างของเนื้อหาสาระที่จะนำเสนอ

5.1.3 จัดลำดับเนื้อหาสาระให้เหมาะสม

5.1.4 การนำเสนอเนื้อหาสาระควรมีความต่อเนื่องกันเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจสาระนั้น ได้โดยง่าย

5.2 ด้านสไตล์การเขียน ผู้เขียนแต่ละคนย่อมมีสไตล์การเขียนของตนซึ่งจะเป็นเอกลักษณ์ สิ่งที่ควรคำนึง คือ ผู้เขียนจะต้องเขียนอธิบายเรื่องนั้นๆ ให้ผู้อ่านเกิดความกระจ่างมากที่สุด ใช้เทคนิคต่างๆ ที่จำเป็น เช่น การจัดลำดับหัวข้อ การยกตัวอย่างที่เหมาะสม การใช้ภาษาที่กระชับชัดเจน เหมาะสมกับผู้อ่าน เป็นต้น

5.3 การวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ ควรนำเสนอความคิดเห็นของผู้เขียนด้วยการวิเคราะห์วิจารณ์ข้อมูล เนื้อหาสาระ เป็น การริเริ่มสร้างสรรค์ของผู้เขียน การวิเคราะห์วิจารณ์อาจนำเสนอพร้อมกับการนำเสนอเนื้อหาสาระตาม ความเหมาะสมกับลักษณะเนื้อหาของเรื่อง

5.4 ด้านการใช้ภาษา ต้องใช้คำในภาษาไทย ใส่คำภาษาต่างประเทศไว้ในวงเล็บ เขียนคำให้ถูกต้องตาม หลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตสถาน สะกดคำให้ถูกต้องตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ควรตรวจทานงานไม่ให้ผิดพลาด เพราะจะเป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการต่อไป

5.5 ด้านวิธีการนำเสนอ นำเสนอเนื้อหาสาระให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว ใช้เทคนิคต่างๆ ช่วยนำเสนอ เช่น การใช้ภาพ แผนภูมิ ตาราง แผนสถิติเป็นต้น ควรนำเสนอสื่อต่างๆ อย่างเหมาะสมและถูกต้องตาม หลักวิชาการ เช่น การเขียนซื่อตาราง การให้หัวข้อต่างๆ ในตาราง เป็นต้น

  1. บทสรุป บทความทางวิชาการที่ดีควรมีการสรุปประเด็นสำคัญๆ ของบทความนั้นๆ รายละเอียด ดังนี้

6.1 การย่อ คือ การเลือกเก็บประเด็นสำคัญๆ ของบทความนั้นๆ มาเขียนรวมกันไว้อย่างสั้นๆ ท้ายบท

6.2 การบอกผลลัพธ์ว่าสิ่งที่กล่าวมามีความสำคัญอย่างไร

6.3 การบอกแนวทางการนำไปใช้ของสิ่งที่กล่าวมาว่าสามารถนำไปใช้อะไรได้บ้าง หรือจะ ทำให้เกิดอะไรต่อไป

6.4 การตั้งคำถามหรือให้ประเด็นทิ้งท้ายกระตุ้นให้ผู้อ่านไปสืบเสาะแสวงหาความรู้ หรือ คิดค้นพัฒนาเรื่องนั้นต่อไป

  1. รายการอ้างอิง

7.1 ผู้วิจัยต้องอ่านเอกสารที่ตนจะใช้เป็นเอกสารอ้างอิงก่อนเสมอ

7.2 ไม่ควรอ้างอิงแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ เช่น เว็บไซต์ หนังสือ ตำรา เป็นต้น ควรอ้างอิง จากเอกสารที่เป็นนิพนธ์ต้นฉบับ

7.3 ควรอ้างอิงเอกสารเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม ไม่ควรอ้างอิงเอกสารที่มากเกินไปจน พร่ำเพรื่อ 7.4 ไม่ควรนำบทคัดย่อมาเป็นเอกสารอ้างอิง

7.5 การอ้างอิงที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์แต่ได้ตอบรับการตีพิมพ์ควรระบุไว้ว่าเป็น “in press” หรือ “forthcoming”

7.6 การอ้างอิงเอกสารที่ไม่ได้รับการตีพิมพ์แต่ได้ส่งเพื่อพิจารณาตีพิมพ์หรือการอ้างอิง ข้อมูลที่ไม่เคยส่งตีพิมพ์ ควรระบุว่าเป็น “upublished data” หรือ “unpublished observations” และควรได้รับคำยินยอมจากเจ้าของเป็นลายลักษณ์อักษร

7.7 เมื่อทำการทวนความ (paraphrase) หรือย่อความ (summarize) มาจากบทความ อื่นไม่ว่าจะเป็นบทความของตนเองหรือบทความของผู้อื่น นักวิจัยควรที่จะอ้างอิงเอกสารต้นฉบับนั้น ไว้ด้วย

7.8 ไม่ควรใช้บทความที่ถูกถอดถอนออกไปแล้วมาเป็นเอกสารอ้างอิง

7.9 ต้องตรวจสอบความถูกต้องของรายการเอกสารอ้างอิง ทั้งในแง่ของรูปแบบและเนื้อหา คือ ชื่อผู้แต่ง ปีที่พิมพ์ของเอกสารที่ถูกอ้างในเนื้อความและเลขหน้าที่อ้างอิง ให้ใส่ไว้ในวงเล็บแทรกอยู่ในเนื้อหาในตําแหน่งที่เหมาะสม รูปแบบ (ชื่อและสกุลผู้แต่ง, \ปีที่พิมพ์, \เลขหน้าที่ใช้อ้างอิง) ตัวอย่าง (ลมุล รัตตากร, 2549, หน้า 11-12)

แนวปฏิบัติที่ดีด้านการเรียนการสอน พ.ศ. 2565

แนวปฏิบัติที่ดี

ด้านการเรียนการสอน

(การใช้แอบปิเคชั่น Microsoft Teams

ในการบันทึกการเรียนการสอน)

  จัดทำโดย

คณะอนุกรรมการจัดการความรู้

คณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต 

โครงการ

เรื่อง การใช้แอบปิเคชั่น Microsoft Teams ในการบันทึกการเรียนการสอน

วัตถุประสงค์

เพื่อให้นักศึกษาได้มีช่องทางและโอกาสในการทบทวนการเรียนการสอนในห้องเรียน  โดยเฉพาะประเด็นสำคัญของเนื้อหา มอบหมายงาน และส่งงานผ่านระบบแอบปิเคชั่น Microsoft Teams นำไปสู่การคิดและวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายได้อย่างเป็นระบบและมีเหตุผลสนับสนุนอย่างถูกต้องตามถ้อยคำสำนวนและเจตนารมณ์ของกฎหมาย มีการโต้ตอบระหว่างอาจารย์ผู้สอนกับนักศึกษาผ่านระบบแอบปิเคชั่น เพื่อให้นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาเป็นบัณฑิตที่พึงประสงค์ ตามแผนยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยและแผนกลยุทธ์ของคณะนิติศาสตร์  ดังนี้

  • มีความใฝ่รู้ พัฒนาตนเอง และหัวใจใฝ่สร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม

(K: Keep on Learning with innovative mind)

  • มีความสามารถปรับตัวในการทำงาน

(A: Adapt oneself to be ready for the work force)

  • มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ร่วมพัฒนาท้องถิ่น

(S: Secure social responsibility)

  • เป็นนักปฏิบัติ ซึ่งมีความอดทน มีพลังมุ่งมั่น กระตือรือร้น

(E: Engage proactively with enthusiasm)

  • มีจริยธรรม คุณธรรม วุฒิภาวะที่พร้อมสำหรับการดำรงตนในสังคมอย่างเข้มแข็ง มีความสุข

(M: Maintain morality and maturity)

  • มีความน่าเชื่อถือและได้รับความไว้วางใจ

(L: Liability)

  • เป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงได้ และเป็นผู้นำที่เข้าถึงทุกคนได้

(A: Approach)

  • มีการพัฒนาการเรียนรู้อยู่เสมอ และมีองค์ความรู้ใหม่ๆทางวิชาชีพที่ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก

(W: Well Modernized Skill)

การจัดการเรียนรู้

การเรียนการสอนการเรียนการสอนโดยใช้แอบปิเคชั่น Microsoft Teams ในการบันทึกการเรียนการสอน และผู้สอนสามารถมอบหมายงานและส่งงานผ่านแอบปิเคชั่น Microsoft Teams คือการให้นักศึกษาวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายขึ้นในสังคม ตามประเด็นที่นักศึกษาต้องการจะทราบ ข้อเท็จจริงที่ถูกกำหนดขึ้นจะถูกปรับเปลี่ยนโดยการสถานการณ์เกิดขึ้นจริง โดยนักศึกษาจะนำข้อเท็จจริงที่ค้นคว้าสืบค้นข้อมูลจากแหล่งที่อ้างอิงต่างๆ  โดยแยกออกเป็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย  เช่นคำพิพากษาฎีกา บทความ งานวิจัย หรือสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์ในคณะ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาปรับวินิจฉัยเข้ากับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ และนำมาเปรียบเทียบกับปัญหาที่ขึ้น แล้วเรียบเรียงแถลงออกมาทั้งในรูปเอกสารและการแสดงความคิดเห็นทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายอย่างมีเหตุผลสนับสนุน และต่างฝ่ายต่างมีข้อโต้แย้งหักล้างซึ่งกันและกัน

การเรียนการสอนโดยใช้สื่อออนไลน์

การเรียนการสอนโดยใช้สื่อออนไลน์มีหลักการในจัดการเรียนการสอนดังนี้

  • ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้อย่างแท้จริง (Student Center)  โดยนักศึกษาเป็นผู้เสนอหัวข้อ (Topic) ที่เป็นประเด็นปัญหาในการศึกษา เพื่อให้เกิดแรงกระตุ้นในการศึกษา
  • อาจารย์ผู้สอนเป็นผู้กำหนดแนวของเรื่อง (Theme) ตามหัวข้อ (Topic) ที่เกิดขึ้นเพื่อสืบค้นข้อเท็จริงและข้อกฎหมายเพื่อนำมาโต้เถียงกัน (discussion)
  • อาจารย์ผู้สอนเป็นผู้ให้คำแนะนำและช่วยเหลือ (Facilitator)
  • นักศึกษาจะเป็นผู้ที่แก้ปัญหาโดยการสืบค้นข้อมูลต่างๆ ด้วยตนเอง (self-directed learning)
  • การวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจะต้องมีเหตุผลสนับสนุนที่เชื่อถือได้ และสามารถหักล้างเหตุผลของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมีหลักการและเหตุผล
  • การประเมินผลใช้การประเมินผลจากสถานการณ์จริง (authentic assessment) โดยดูจากความสามารถในการปฏิบัติและการแสดงความคิดเห็นของนักศึกษา

กิจกรรมการเรียนรู้

          ขั้นตอนที่ 1 อาจารย์ผู้สอนศึกษาคู่มือการใช้งานระบบ Microsoft Teams ในการบันทึกการเรียนการสอน

ขั้นตอนที่ 2 อาจารย์ผู้สอนสร้างห้องเรียนผ่านแอบปิเคชั่น Microsoft Teams

ขั้นตอนที่ 3 แจ้งนักศึกษาให้ทราบและฝึกฝนการใช้แอบปิเคชั่น Microsoft Teams เพื่อสามารถใช้แอบปิเคชั่นในการทบทวนบทเรียนและส่งงานตามที่อาจารย์มอบหมาย

ขั้นตอนที่ 4 นักศึกษาสามารถร่วมกันเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศึกษาค้นคว้ามา โดยเสนอต่ออาจารย์ผู้สอน ผ่านแอบปิเคชั่น Microsoft Teams โดยอาจารย์ผู้สอนจะเป็นร่วมเสนอแนะข้อเท็จจริงตามที่นักศึกษาต้องการศึกษา

แผนภูมิรูปแบบของการเรียนการสอนการเรียนการสอนโดยใช้สื่อออนไลน์

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนรู้

การใช้เทคโนโลยีสำหรับการเรียนการสอน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่อุปกรณ์ต่างๆ ในชั้นเรียน เช่น สัญญานอินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย เครื่องคอมพิวเตอร์และระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงต้องมีประสิทธิภาพสามารถสืบค้นข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ผู้สอนต้องมีความรู้ทางด้านการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สืบค้นข้อมูลต่างๆ  ที่จะสามารถแนะนำนักศึกษาให้เข้าไปสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ ในระบบอินเตอร์เน็ตได้ทันทีด้วย 

การประเมินผลการเรียนการสอน

การประเมินผลการเรียนการสอน ประกอบด้วย

  1. การประเมินผลในเบื้องตนเพื่อตรวจสอบว่านักศึกษาเกิดการเรียนรู้หรือไม่
    • การวัดแบบสังเกตพฤติกรรม คือการสังเกตนักศึกษาเป็นรายบุคคล
    • การวัดโดยการสัมภาษณ์ คือการพูดคุยกับนักศึกษาในการรับรู้ข้อเท็จจริงและ

การปรับใช้กฎหมายตามที่ได้รับมอบหมายหรือในการจำลองสถานการณ์

  1. การวัดการเรียนรู้ภายในห้องเรียน แยกดังนี้
    • ความจำ พิจารณาจากความสามารถในการจำข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
    • ความเข้าใจ พิจารณาจากการที่นักศึกษาสามารถเข้าใจข้อเท็จจริง กำหนดประเด็นข้อพิพาทและตีความกฎหมายได้อย่างถูกต้องหรือไม่เพียงใด
    • การนำไปใช้ พิจารณาจากการที่นักศึกษาสามารถนำความจำและความเข้าใจไปปรับใช้ในสถานการณ์จำลองได้อย่างมีเหตุผลและมีความยุติธรรมหรือไม่เพียงใด
    • การวิเคราะห์ พิจารณาจากความสามารถของนักศึกษาในการแยกแยะข้อเท็จจริง

ข้อกฎหมายและประเด็นสำคัญที่ซ้อนอยู่ในข้อเท็จจริงที่ได้รับ

  • การสังเคราะห์ พิจารณาจากความสามารถของนักศึกษาในการรวบรวมข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและแนวทางแห่งความยุติธรรม(แนวคำพิพากษาฎีกา) แล้วนำมาแสดงออกอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอนและมีความถูกต้อง
  1. การวัดและประเมินผล

ทำการวัดและประเมินความสามารถของนักศึกษาที่ได้แสดงบทบาทในสถานการณ์ที่ถูกจำลองขึ้นซึ่งใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นจริง เป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยนำกระบวนการคิด วิเคราะห์และสังเคราะห์มาใช้อย่างเป็นระบบ  ซึ่งวิธีการวัดและประเมินผลในด้านความสามารถนั้น กำหนดได้ดังนี้

3.1) การมอบหมายงานตามเนื้อหาของวิชาซึ่งระบุใน มคอ.3 ให้นักศึกษาฝึกฝนและทบทวนเนื้อหาวิชาที่เรียนเพื่อให้เห็นความสามารถในการคิด วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบและมีเหตุผลสนับสนุน

3.2) กำหนดภาระงานโดยการจำลองสถานการณ์ขึ้น นักศึกษาต้องจัดทำเอกสารเป็นรูปเล่มที่แสดงถึงการสืบค้น การวิเคราะห์และการสังเคราะห์ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายและแนวทางแห่งความยุติธรรม (คำพิพากษาฎีกา) โดยแยกเป็นภาระงานกลุ่มและภาระงานส่วนตัว

3.3) กำหนดให้มีแฟ้มสะสมงาน แยกเป็นแฟ้มสะสมงานกลุ่มและแฟ้มสะสมงานส่วนตัว ซึ่ง เกิดจากการดำเนินงานของนักศึกษาที่ผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์และสังเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีหลักการและเหตุผลสนับสนุน ตามที่อาจารย์ผู้สอนได้มอบหมายงานหรือจำลองสถานการณ์ขึ้น เพื่อทราบถึงการเรียนรู้ของนักศึกษาว่าเป็นไปตามเป้าหมายของการศึกษาในวิชาที่กำหนดไว้หรือไม่

กรอบของการเรียนการสอนใช้แอบปิเคชั่น Microsoft Teams ในการบันทึกการเรียนการสอน

การเรียนการสอนการเรียนการสอนโดยใช้สื่อออนไลน์ มีกรอบการดำเนินการดังนี้

 

เกณฑ์การวัดผล น้ำหนัก

(ร้อยละ)

วิธีประเมิน เครื่องมือ
1) ความรู้ตาม

เนื้อหาของวิชา

60 ทดสอบ ข้อสอบปลายภาค
2) พฤติกรรม

ระหว่างเรียน

 10 สังเกต แบบสังเกตพฤติกรรมในห้องเรียน
3) ภาระงานที่

มอบหมาย

 10 ผลงาน แฟ้มสะสมงานส่วนตัว
4) ทักษะในการ

เรียนภาคปฏิบัติ

 20 สังเกต/ผลงาน แฟ้มสะสมงานกลุ่ม

 คณะอนุกรรมการจัดการความรู้

คณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

Skip to toolbar